
ก่อนจะไปคุยเรื่องวัตถุดิบ ขอเจาะลึกข้อดีข้อด้อยของอุปกรณ์แต่ละชนิดกันก่อนนะคะ เผื่อจะได้เป็นแนวทางว่าควรจะเลือกซื้ออุปกรณ์แบบไหนดี
อันดับแรกว่ากันที่ภาชนะ
1. - ภาชนะที่ใช้ส่วนใหญ่นิยมแก้วเหมือนตามห้องปฏิบัติการทั่วไป ได้แก่ Beaker ขนาดต่างๆ ควรจะเริ่มที่ขนาดเล็ก 50 ml, 80 ml, 100 ml, 250 ml ต้องมีหลายๆขนาดนะคะ เพราะเวลาผสมสาร อาจจะไม่ได้ผสมลงไปพร้อมกันทีเดียว สารบางตัวมีข้อจำกัดต้องผสมกับสารนี้เท่านั้น บางตัวเป็นผงต้องละลายด้วยสารนี้ก่อน และอื่นๆและควรจะมีเผื่อไว้สักขนาดละ 2 ใบ (เผื่อแตกค่ะ) แต่ถ้าทุนหนาจะมีมากกว่านี้ก็ไม่ว่ากัน
2. - ภาชนะที่เป็นสแตนเลสไม่ค่อยเหมาะกับการทำปริมาณน้อยๆ หรือเริ่มทดลองทำ เพราะเราจะมองไม่เห็นปฏิกิริยาของสารต่างๆขณะผสมได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับใส่ในภาชนะแก้วส่วนเหตุผลอื่นๆก็คือภาชนะสแตนเลสไม่ค่อยมีขนาดเล็กๆค่ะ แถมยังราคาแพงกว่าแบบแก้วอีกด้วย
3. - ภาชนะพลาสติกควรจะเป็นชนิด Polypropylene ลักษณะสีขาวขุ่น เนื้อเหนียวไม่เปราะ นำมาใช้ได้นะคะ หากเป็นการผสมที่ไม่ต้องใช้ความร้อน อันนี้จะมีสำรองไว้ก็ได้ค่ะ ขนาด 500 หรือ 1,000 ml
อันดับที่ 2 อุปกรณ์ตัก ผสม
อุปกรณ์นี้ได้แก่ ช้อนตักสารจะเป็นพลาสติก สแตนเลส ได้หมดค่ะ ควรจะมีหลายๆขนาด หลายๆแบบ เพราะตักเสร็จก็ใช้กวนได้เลยค่ะ หรืออาจจะซื้อพวกแท่งแก้วสำหรับกวนสาร (stirring rod) โดยเฉพาะก็ได้ค่ะ เอาแบบสั้นๆที่เหมาะกับบีคเกอร์ของเรานะคะ และควรจะมีตะกร้อสแตนเลสขนาดเล็กไว้สำหรับผสมสารโดยเฉพาะพวกอีมัลชั่นที่ต้องใช้ความแรงและเร็วขณะผสม ตัวนี้จะช่วยได้มากเลยค่ะ
อันดับที่ 3 เครื่องชั่ง
อันนี้สำคัญเลยค่ะ ขอแนะนำว่าถ้าไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินๆทองๆ ก็กัดฟันซื้อแบบยี่ห้อดีหน่อย สำหรับความละเอียด .1 g. สนนราคาจะอยู่ที่ประมาณสี่-ห้าพัน คิดว่าเพียงพอแล้วนะคะสำหรับการทำไว้ใช้เอง แต่ถ้ายังไม่อยากลงทุนขนาดนั้น จะซื้อหาของจีนมาใช้ก็ไม่ว่ากัน ที่ความละเอียดขนาด .1 g แค่ 5-600 บาทเอง แต่ถ้ามั่นใจว่าจะขอยึดมั่นในการทำเองก็ลุยเลยค่ะ
อีกอันหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือหลอดดูดสาร (Pipette) ประหยัดสุดๆก็ใช้แบบพลาสติกขนาด 1-3 ml. ติดไว้สัก 3-4 อัน สำหรับดูดสารที่ใช้ปริมาณน้อยในส่วนผสมซึ่งไม่สะดวกต่อการชั่งน่ะค่ะ
อันดับ 4 อุปกรณ์ให้ความร้อน
ใช้เตาไฟฟ้าง่ายและประหยัดเงินดีค่ะ แบบเตาแม่เหล็กไฟฟ้าก็ดีค่ะ ตั้งอุณหภูมิได้แล้วก็ร้อนเร็วทันใจ หรือถ้าใครมีหม้อสุกี้อยู่แล้วก็นำมาใช้ได้เลย ข้อสำคัญเราจะไม่เอาสารใส่ในภาชนะแล้วตั้งไฟโดยตรงนะคะ แต่จะใช้ลักษณะการได้รับความร้อนผ่านน้ำอีกทีค่ะ นั่นก็คือถ้าเป็นเตาธรรมดาจะต้องมีถาดสแตนเลสใส่น้ำเพื่อรองรับภาชนะแก้วของเราอีกที ทั้งนี้เพื่อป้องกันการทำลายคุณสมบัติของสารสำคัญค่ะ
อันดับสุดท้าย เครื่องวัดอุณหภูมิและความเป็นกรด/ด่าง
ทำไมจึงต้องมีเครื่องวัด 2 ตัวนี้? เพราะส่วนผสมที่เราใช้เป็นสารเคมีค่ะ ปฏิกิริยาเคมีมีหลายอย่างเกิดขึ้นโดยที่เราไม่เห็น และสัมผัสไม่ได้ ซึ่งถ้าเราไม่สามารถรับรู้เราก็จะควบคุมการทำงานของมันไม่ได้ค่ะ ในการผสมสารต่างๆเพื่อทำเครื่องสำอาง โดยพื้นฐานแล้วต้องเกี่ยวข้องกับ อุณหภูมิ และค่ากรด/ด่าง ซึ่งจะเข้าใจมากขึ้นเมื่อถึงขั้นตอนการเลือกวัตถุดิบ ที่จะนำมาคุยกันในคราวต่อไปค่ะ
สำหรับอุปกรณ์วัดอุณหภูมิ หรือเทอร์โมมิเตอร์ ถ้าใช้แบบแท่งแก้วมีปรอทข้างใน ราคาก็ถูกหน่อย อันนึงไม่ถึง 100 บาท แต่ถ้าแบบใช้เลเซอร์วัดและแสดงผลเป็นดิจิตอลก็จะสะดวกกว่ามากคะ เพราะไม่ต้องสัมผัสกับสารโดยตรง ของจีนก็มีนะคะ ราคาไม่ถึงพัน
ส่วนเครื่องวัดค่ากรด/ด่าง ของจีนก็ถูกและใช้ได้ดีเลยค่ะ ราคาประมาณ 4-500 บาท ก็ลองหาซื้อกันนะคะ
หน้าที่เข้าชม | 6,464 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 3,425 ครั้ง |
เปิดร้าน | 27 มิ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 24 เม.ย. 2561 |